
แหล่งจ่ายพลังงานสำหรับ AI
มิถุนายน 5, 2025
ปัจจุบัน “คาร์บอนฟุตพรินต์” (Carbon Footprint) เป็นตัวชี้วัดสำคัญที่องค์กรและธุรกิจทั่วโลกใช้ประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจากรายงานของสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงาน พบว่าในปี 2566 ประเทศไทยมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงถึง 243.6 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี ซึ่ง 71% มาจากภาคพลังงานและการขนส่ง ดังนั้น การเข้าใจความหมาย ประเภท วิธีการคำนวณ และแนวทางการลดคาร์บอนฟุตพรินต์อย่างมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้องค์กรของคุณลดการสร้างคาร์บอนฟุตพรินต์ได้อย่างเหมาะสม
คาร์บอนฟุตพรินต์คืออะไร ?
คาร์บอนฟุตพรินต์ (Carbon Footprint) คือปริมาณก๊าซเรือนกระจก (GHG – Greenhouse Gases)* ที่เกิดจากกิจกรรมต่าง ๆ ของบุคคล องค์กร หรือผลิตภัณฑ์ ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น การลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกเหล่านี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาสภาพแวดล้อมและลดผลกระทบต่อระบบนิเวศโลก
ผู้ประกอบการบางคนอาจจะมองว่าเรื่องคาร์บอนฟุตพรินต์มีความสำคัญในการช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น แต่ในความเป็นจริง ยังมีความสำคัญต่อองค์กรในหลากหลายด้าน ไม่ว่าจะในแง่ของการประหยัดทรัพยากรและต้นทุนในระยะยาว รวมถึงการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของผู้บริโภค
นอกจากนี้ การที่ทั่วโลกกำลังเอาจริงเอาจังในเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม จนมีการกำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อลดคาร์บอนฟุตพรินต์ รวมถึงการได้รับมาตรฐานที่เกี่ยวข้อง ยังช่วยเพิ่มโอกาสการแข่งขันในตลาดโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด


มาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้อง
ปัจจุบันมีมาตรฐานสากลที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ สำหรับประเมินปริมาณคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กรให้เป็นไปตามข้อกำหนด ดังนี้
-
ISO 14064 เป็นมาตรฐานเกี่ยวกับแนวทางปฏิบัติเพื่อจัดการคาร์บอนฟุตพรินต์ขององค์กร มีจุดมุ่งหมายเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและสามารถทวนสอบผลปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้
-
ISO 14067 เป็นมาตรฐานที่มุ่งเน้นการคำนวณและรายงานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ โดยใช้คาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (CO2e) เป็นหน่วยการวัดหลักในการประเมินผลกระทบจากการผลิต การขนส่ง การใช้งาน และการกำจัดของผลิตภัณฑ์ มาตรฐานนี้ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถระบุและลดผลกระทบจากก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต
*GHG หรือ ก๊าซเรือนกระจก มี 7 ชนิด ได้แก่ คาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มีเทน (CH4) ไนตรัสออกไซด์ (N2O) ไฮโดรฟลูออโรคาร์บอน (HFCs) เพอร์ฟลูออโรคาร์บอน (PFCs) ซัลเฟอร์เฮกซะฟลูออไรต์ (SF6) และไนโตรเจนไตรฟลูออไรต์ (NF3)
คาร์บอนฟุตพรินต์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
1. Carbon Footprint ขององค์กร (Corporate Carbon Footprint)
การวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาจากกิจกรรมทั้งหมดขององค์กร ครอบคลุมถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าในสำนักงานหรือโรงงาน การขนส่งสินค้าและพนักงาน รวมถึงกระบวนการผลิตที่ต้องใช้พลังงานสูง
ข้อมูลนี้ช่วยให้องค์กรสามารถวางแผนกลยุทธ์ด้านความยั่งยืน รายงานต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรฐานที่เกี่ยวข้องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
2. Carbon Footprint ของผลิตภัณฑ์ (Product Carbon Footprint)
การวัดปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ปล่อยออกมาตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์ ตั้งแต่การจัดหาวัตถุดิบ การผลิต การขนส่ง การใช้งาน ไปจนถึงการกำจัดหรือรีไซเคิล
ข้อมูลนี้ช่วยให้ผู้ผลิตสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และสื่อสารข้อมูลด้านสิ่งแวดล้อมแก่ผู้บริโภคได้อย่างโปร่งใส

การใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นปัจจัยสำคัญที่เพิ่ม Carbon Footprint แต่การใช้พลังงานแสงอาทิตย์ผ่านโซลาร์เซลล์เป็นทางเลือกพลังงานสะอาดที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
🧷 ขอบคุณข้อมูลข่าวสารจาก : greenyellow
🛒 อุปกรณ์วัดค่ากระแสไฟ Online : ดูสินค้า
💌 Inbox : m.me/powermeterline
📞 02-068-0699
📱 096-750-9982
💚 LINE@ : @Powermeterline (อย่าลืมใส่@ข้างหน้าตอนพิมพ์ชื่อด้วยนะคะ)
: 0
🧷 ขอบคุณข้อมูลข่าวสารจาก : greenyellow
🛒 อุปกรณ์วัดค่ากระแสไฟ Online : ดูสินค้า
💌 Inbox : m.me/powermeterline
📞 02-068-0699
📱 096-750-9982
💚 LINE@ : @Powermeterline (อย่าลืมใส่@ข้างหน้าตอนพิมพ์ชื่อด้วยนะคะ)